ศูนย์ริการวิชาการธรรมาภิบาล มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ตอบคำถามในเว็บไซต์นายกรัฐมนตรี ที่มีผู้ถามท่านเรื่องการปรับปรุงการรถไฟของไทย ว่า "ขณะนี้ รัฐบาลกำลังเดินหน้าปรับปรุงโครงสร้าง ร.ฟ.ท. และยังยืนยันแนวคิดในการแยกการบริหาร ร.ฟ.ท. ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ เรื่องของราง การเดินรถ และการบริหารจัดการทรัพย์สินของการรถไฟ ซึ่งน่าจะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ยืนยันว่าไม่ได้มีแนวคิดที่จะเอางานส่วนใดส่วนหนึ่งไปแปรรูปให้เอกชนเป็นเจ้าของ..."
ผมคิดว่าหนึ่งในบรรดารัฐวิสาหกิจทั้งหมดจากจำนวน 58 แห่งทั้งประเทศ ที่มีปัญหาประสิทธิภาพและที่ท้าทายความสามารถของรัฐบาลมากที่สุด คือ การรถไฟแห่งประเทศไทย ปัญหาใหญ่ๆ ของ ร.ฟ.ท. ในขณะนี้ จากมุมมองทางด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง คือ
ประการแรก การปรับเปลี่ยนบทบาทขององค์กรค่อนข้างล่าช้า ในปี พ.ศ. 2433 ซึ่งเป็นปีที่ถือกำเนิดขึ้นของกิจการรถไฟ องค์กรนี้อยู่ภายใต้สังกัด "กรมรถไฟ" ของกระทรวงโยธาธิการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2460 ได้เปลี่ยนเป็น "กรมรถไฟหลวง" ในระยะเริ่มต้นนี้กิจการรถไฟเป็นหน่วยงานราชการ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ธนาคารโลกได้เสนอให้รัฐบาลไทยปรับปรุงกิจการรถไฟให้มีการบริหารงานอย่างเป็นอิสระ และมีความคล่องตัวเหมือนธุรกิจเอกชน รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงได้เสนอ พ.ร.บ. การรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 กิจการรถไฟซึ่งเคยบริหารงานแบบราชการ จึงกลายเป็นรัฐวิสาหกิจที่ชื่อว่า "การรถไฟแห่งประเทศไทย" กระนั้นก็ดี เกือบ 60 ปีที่ผ่านมา ระบบ ระเบียบ หลักเกณฑ์ และการกำกับดูแลภายใน ร.ฟ.ท. ยังไม่สามารถหลุดพ้นออกจากความเป็นราชการได้
ดังจะเห็นได้จาก ร.ฟ.ท. ซึ่งเริ่มต้นขาดทุนอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 หรือเกือบ 40 ปีมาแล้ว จนกระทั่งในปัจจุบัน ร.ฟ.ท. มียอดการขาดทุนสะสมสูงถึงประมาณ 70,000 ล้านบาท และหากไม่มีการปรับปรุงแก้ไขอย่างขนานใหญ่ คาดได้ว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ยอดขาดทุนนี้จะสูงถึงกว่า 100,000 ล้านบาท การขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก ทำให้โครงสร้างพื้นฐานของกิจการรถไฟแทบไม่ใคร่ได้รับการดูแลรักษา และมีการปรับปรุงพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น
ประการที่สอง การขาดความต่อเนื่องทางด้านนโยบาย ในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา มี รมว. คมนาคม 7-8 คน มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการการรถไฟกว่า 10 คณะ ผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองบ่อยๆ อาจถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติ และการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีที่มาดูแลการรถไฟบ่อยๆ ก็อาจถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกัน แต่การที่ไปเปลี่ยนคณะกรรมการรถไฟทุกๆ ครั้ง ที่มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีไม่น่าจะถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะทำให้การทำงานของคณะกรรมการขาดความต่อเนื่อง และทำให้งานใหญ่ๆ ไม่อาจริเริ่มและดำเนินการต่อไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ผมคิดว่าปัญหาของ ร.ฟ.ท. ที่หมักหมมจนเน่าเสียอยู่ในขณะนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับปัญหาการเมือง และปัญหาของนักการเมืองโดยตรง เพราะการเปลี่ยนตำแหน่ง รมว.คมนาคม กับการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการรถไฟในทุกๆ ครั้ง มักจะกลายเป็นข่าวอื้อฉาวเรื่องที่ รมต. ตั้งกรรมการรถไฟในลักษณะที่เป็นการให้รางวัลตอบแทนทางการเมือง หรือตั้งสมัครพรรคพวกเข้ามาช่วยดูแลผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจ มากกว่าจะรับบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์ที่จะเข้ามาพัฒนา ร.ฟ.ท. ผมคิดว่ายอดขาดทุนรถไฟที่สูงขนาดนี้ หากเป็นธุรกิจเอกชนคงถูกฟ้องล้มละลายไปแล้ว
ประการที่สาม การมีส่วนร่วมในทางเศรษฐกิจและสังคมค่อนข้างน้อย เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนการให้บริการการขนส่งทางรถไฟกับการขนส่งทางถนนและทางน้ำ การขนส่งทางรถไฟจะมีบทบาทน้อยกว่ามาก กล่าวคือ ในแง่ของการบริการขนส่งผู้โดยสารทั้งหมด รถไฟมีผู้ใช้บริการเพียงร้อยละ 16 ส่วนในแง่ของการขนส่งสินค้า ในปี พ.ศ. 2549 การขนส่งสินค้าทางรถไฟคิดเป็นเพียงร้อยละ 2.3 ของปริมาณการขนส่งทั้งหมด ในขณะที่การขนส่งทางถนนมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 85.5 การขนส่งทางน้ำภายในประเทศร้อยละ 6.2 การขนส่งทางทะเลร้อยละ 6.0 และการขนส่งทางอากาศร้อยละ 0.01
ประการที่สี่ การกำกับดูแลของคณะกรรมการการรถไฟ การที่ฝ่ายนโยบายมีอำนาจเหนือฝ่ายกำกับดูแล และฝ่ายบริหารของ ร.ฟ.ท. มาโดยตลอด ทำให้คณะกรรมการการรถไฟไม่สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างเป็นอิสระและเป็นกลาง การกำกับดูแลของคณะกรรมการ จึงกลายเป็นเพียงเครื่องมือของฝ่ายบริหาร ซึ่งขาดความโปร่งใส ขาดการตอบสนองผลประโยชน์ของประชาชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งขาดประสิทธิภาพในการทำงานโดยตลอด
ประการที่ห้า ทัศนคติของฝ่ายบริหารและพนักงาน ที่ควรให้ความสำคัญกับประชาชนในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับกิจการของ ร.ฟ.ท. โดยทั่วไปประชาชนถือเป็นผู้เสียภาษีอากรให้แก่รัฐบาล และรัฐบาลได้นำภาษีอากรเหล่านี้มาอุดหนุนกิจการรถไฟเป็นเวลาประมาณ 120 ปีแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 30-40 ปี สุดท้ายนี้ ซึ่งรัฐบาลต้องให้การอุดหนุนกับการขาดทุนของ ร.ฟ.ท.เป็นอย่างสูงมาโดยตลอด ร.ฟ.ท. ควรตระหนักว่ามีประชาชนส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เป็นผู้โดยสารของ ร.ฟ.ท. แต่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ ต้องถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการ ร.ฟ.ท. ฉะนั้น ร.ฟ.ท. จะต้องให้ความสำคัญกับความรู้สึกและความคาดหวังของประชาชนต่อ ร.ฟ.ท. อย่างจริงจัง
ผมเห็นว่าแนวความคิดของคุณอภิสิทธิ์ในการปรับปรุงโครงสร้างของ ร.ฟ.ท. เป็นเรื่องที่สมควรได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปกิจการรถไฟให้กลายเป็นองค์กรที่มีความสำคัญในการทำให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็งทางด้านการขนส่งด้วยราง และมีการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพในระดับสูงมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและยาวนานตามสมควร สิ่งที่ ร.ฟ.ท. ต้องการในขณะนี้ ก็คือ วิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ และนโยบายที่เหมาะสม การสร้างบุคลากรที่มีความสามารถ และการสร้างวัฒนธรรมใหม่ขององค์กรที่อยู่บนหลักของการมีธรรมาภิบาล
เผยแพร่ครั้งแรกที่ กรุงเทพธุรกิจ 28-09-52